2. คำนวณ reaction ที่ support โดยปกติแล้วโครงสร้าง truss ก็จะใช้ simple support เป็นปกติ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด moment ที่ member เพราะต้องการให้ member มีพฤติกรรมที่รับเฉพาะแรงในแนวแกนเท่านั้น 3. คำนวณแรงภายในที่เกิดขึ้น ว่าเป็นแรงอัดหรือแรงดึง ซึ่งการคำนวณแรงก็จะพิจารณาจากสมการสมดุลแรงในแนวแกน x และแกน y ที่เราคุ้นเคยกันดี ก็คือ sigmaFy และ sigmaFx โดยกำหนดทิศทางของแรงที่เป็นบวกและลบ
เช่น ทิศทางขึ้นเป็นบวก ทิศทางไปทางขวดเป็นบวก เพื่อที่สุดแล้วเมื่อคำนวณออกมา ค่าที่เป็นลบ ก็คือ แรงอัด และค่าที่เป็นบวก ก็คือ แรงดึง จากนั้นก็พิจารณาทีละ joint เพื่อหาแรงภายในให้ครบทุก member เพื่อหาว่า member ไหน เกิดแรงภายในมากที่สุด แล้วจึงนำไปใช้ออกแบบ
4. ออกแบบหน้าตัดที่เหมาะสม โดยพิจารณา member ที่รับแรงอัดเป็นเสา และ member ที่รับแรงดึงก็พิจารณาแบบทั่วไปคือ 0.9FyAg
สำหรับ member ที่รับแรงอัด ก็ให้พิจารณา member นั้นๆ เป็นเสาต้นหนึ่ง โดยจะต้องพิจารณาค่าอัตราส่วนความชะลูด (slenderness ratio) เพื่อพิจารณาว่าเป็นเสายาวปานกลาง (intermediate column) หรือเสายาว (long column) จากนั้นจึงคำนวณค่ากำลังรับน้ำหนักสูงสุดของ member นั้น
แล้วจึงนำไปเปรียบเทียบกับแรงที่เกิดขึ้น แต่หากต้องพิจารณา member ที่รับแรงดึง ก็ยิ่งง่ายขึ้นไปอีก เพราะว่าสามารถคำนวณแบบตรงไปตรงมาได้เลย ก็คือ ค่า yield ของเหล็ก x หน้าตัดของเหล็ก แล้วคูณด้วยค่า phi = 0.9 เข้าไป ก็จะได้กำลังรับแรงดึงของ member นั้นๆ ออกมาแล้วครับ