Beam / Girder (คาน)
ตัวอย่างการคำนวณโครงสร้าง Arch (Design Calculation of Vertical Curve Member)

ตัวอย่างการคำนวณโครงสร้าง Arch (Design Calculation of Vertical Curve Member)

สำหรับโพสต์นี้ จะเป็นเนื้อหาที่ต่อเนื่องมาจากโพสต์ก่อน เรื่อง Curve Member Design นะครับ  ซึ่งเนื้อหาของโพสนี้ หลักๆ ก็จะพูดถึงการออกแบบชิ้นส่วนโครงสร้างที่มีการดัดโค้งในแนวดิ่ง หรือที่เราคุ้นเค้ยกันดีกว่าที่เรียกว่า ARCH นั่นเองครับ ว่าจะต้องมีการพิจารณาพิเศษอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง เช่น คุณสมบัติของวัสดุที่เปลี่ยนไปเนื่องจากกระบวนการดัด หรือพฤติกรรมทางโครงสร้างที่เปลี่ยนไป

โครงสร้างทรง arch นั้นเป็นรูปแบบของโครงสร้างที่ค่อนข้างจะมีประสิทธิภาพในการรับแรงอัด แต่ในความเป็นจริงแล้วการเกิด pure axial compression นั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้เนื่องจากหลายปัจจัย เช่น imperfection ของ member, การเยื้องศูนย์ รวมถึงแรงกระทำที่ไม่เท่ากันมากระทำพร้อมกันที่ member

ตัวอย่างการคำนวณอยู่ด้านล่างสุด นะครับ

รูปทรงของ Arch (Geometry)

Funicular shape หรือรูปทรงที่เป็นเหมือนสายไฟฟ้าห้อยๆ ในรูปที่ 2 จะเป็นรูปทรงที่จะสามารถเกิดได้กับ member ที่ต้องรับแรงในแนวแกน (axial loads) และจะเกิดขึ้นเมื่อ load ที่มากระทำมีลักษณะเฉพาะด้วย ซึ่งหากดูรูปที่ 2-a จะเห็นว่าเป็น tension member ที่มีลักษณะเหมือนกัน cable ที่มี load มากระทำ (เหมือนตอนที่เราเรียนฟิสิกส์)

ในทางกลับกัน ถ้าเปลี่ยนการดัดให้เป็นเหมือนคานหน้าบึ้ง รูปที่ 2-b และเอา load มากระทำในลักษณะเดิม ก็จะทำให้รูปแบบของ reaction ที่เกิดขึ้นแตกต่างกัน อีกทั้งยังทำให้เกิดรูปทรงของ moment diagram ที่เหมือนกับคานธรรมดาที่ไม่ได้มีการดัดโค้งอีกด้วย ซึ่งด้วยการที่ load เป็นแบบจุด (concentrated load) จึงทำให้ระบบของโครงสร้างนั้นไม่เกิดการโค้งแบบ arch ซึ่งจะแตกต่างจากการที่ load ที่มากระทำนั้นเป็นแบบ uniform load (รูปที่ 2-c)

รูปที่ 2 Funicular shapes

สำหรับการคำนวณหา moment และ shear ที่จุดใดๆ บนโครงสร้างประเภทนี้ สามารถทำได้โดยการใช้ประโยชน์จะเส้น offset ที่เกิดจากเส้นโค้งทั้ง 2 (รูปที่ 3) ซึ่งหากวาดออกมาแล้ว เราก็จะได้รูปที่เป็น member ของเรา และอีกเส้นนึงคือ เส้น funicular polygon ที่เกิดจาก load มากระทำ

จุดที่ member ตัดกับเส้น funicular polygon นี้ จะมีค่า bending moment เท่ากับ 0 …. ส่วนในตำแหน่งอื่นๆ บน arch member นั้น ค่า bending moment จะสามารถคำนวณได้จาก axial load คูณกับระยะ offset ที่เกิดขึ้นครับ ดังรูปด้านล่าง

รูปที่ 3 Non-Funicular Shapes

สำหรับโครงสร้างทรง arch แล้ว จะใช้คำว่า rise-to-span ratio H / Ls เป็นตัวกำหนดหน้าตาที่เกิดขึ้น (รูปที่ 4) โดยที่

  • H คือ จุดที่ยกตัวสูงสุดของ arch หรือ apex (ถ้าในรูปก็คือ ณ ตำแหน่งกึ่งกลาง)
  • Ls คือ ความยาวของ span

ซึ่งค่า rise-to-span ratio ที่จะทำให้เกิดความคุ้มค่าด้านโครงสร้างมากที่สุดจะอยู่ที่ 1/6 และ 1/5

แรงอัดในแนวแกน (Axial Compression)

อย่างที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ โครงสร้างทรง arch นั้นจะรับแรงอัดในแนวแกนเป็นหลัก แต่ไม่ได้เกิดแรงอัดอย่างเดียวเหมือน truss นะครับ เนื่องจากมันเกิด bending moment ด้วย ซึ่งการคำนวณก็จะเหมือนกับ combined axial bending member เลย ที่จะต้องคำนวณแรงภายในทั้ง 2 ที่เกิดขึ้นแยกกัน

สำหรับ member ที่เป็นทรง circular arch (รูปที่ 4-a) แรงอัดที่เกิดขึ้น (axial compression load) สามารถคำนวณได้จาก

  • Pr = qR โดยที่ R คือรัศมี และ q คือ uniform load ที่กระทำ หน่วยเป็น kg/m.

แต่หาก member มีลักษณะที่เป็นทรง parabolic curve ที่มี uniform load มากระทำ อันนี้สมการก็จะยาวๆ หน่อยครับ ซึ่งมีตัวแปร rise-to-span ratio เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย (รูปที่ 5)

การพิจารณา in-plane deflection นั้น ก็จะมีพฤติกรรมเหมือนกับ beam-column member (หรือ combined axial bending member) ครับ อีกทั้งยังต้องมีการพิจารณา second-order effect ร่วมด้วย เนื่องจากรูปทรงของ member นั้นมีลักษณะที่เป็น non-linear (ก็คือ ไม่ตรงนั้นเองครับ) สมการ second-order deflection ในรูป

รูปที่ 4 Standard Forms
รูปที่ 5 Rise – to – Span Ratio & 2nd Order

กำลังรับน้ำหนักรอบแกนหลัก (In-Plane Strength)

ด้วยความที่ โครงสร้างประเภทนี้ จะต้องรับแรงอัดในแนวแกนเป็นหลัก ดังนั้นแล้ว บริเวณ support จึงมีโอกาสที่จะถูกดันออกจนเกิดการเสียรูป (แบะออก ดังรูปที่ 6-a) ซึ่งทำให้กำลังรับน้ำหนักลดลงอย่างมีนัยยะ จนนำไปสู่การพังทลายของโครงสร้างได้ ซึ่งเราเรียกพฤติกรรมนี้ว่า flexible support

แต่การจะทำให้ support นั้นมีความ rigid โดยสมบูรณ์ ก็ทำได้ยากครับ ดังนั้นจึงต้องมีการติดตั้ง member เพิ่มเติม เพื่อเข้ามาช่วยเพิ่ม stiffness ให้กับ support ดังเช่นรูปที่ 6-b ที่นำ member มาติดตั้งเพิ่มในแนวนอนหรือคล้ายๆ กับ strut ซึ่ง member นี้ก็จะทำหน้าเป็น tension tie โดยการรั้ง support ไม่ให้เกิดการแบะออกนั่งเองครับ …. หรืออาจเพิ่ม stiffness ให้กับ support โดยการทำเสาเป็น vertical truss แทน ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยได้เช่นกัน ซึ่งก็ออกแบบ vertical truss ที่รองรับ arch roof เช่นในรูป 6-c ที่แสดง ก็ออกแบบเหมือนกับคานครับ

รูปที่ 6 Support Horizontal Stiffness.

นอกจากนี้ arch จะต้องถูกออกแบบให้มีเสถียรภาพ หรือกล่าวคือ ไม่ให้เกิดการวิบัติที่เกิดจากการโก่งเดาะ ประเภทที่เรียกว่า snap through buckling ซึ่งเป็นการเสียเสถียรภาพของหน้าตัดในระนาบ สามารถเกิดได้กับหน้าตัดประเภทนี้ ที่เป็นแบบสมมาตรและไม่สมมาตร (รูปที่ 7-a แบบ c คือ การโก่งเดาะของหน้าตัดที่สมมาตร และ b คือ การโก่งเดาะของหน้าตัดที่ไม่สมมาตร)

ซึ่งเราสามารถออกแบบเพื่อป้องกันการโก่งเดาะดังกล่าว (snap through buckling) ได้โดยการจำกัด span slenderness หรือความยาวช่วงของ arch ไม่ให้เกินค่า Ls / ri โดย Ls คือ ความยาวของ span และ ri คือ รัศมีไจเรชั่นของ arch ….. แต่เมื่อป้องกันการเกิด snap through buckling ได้แล้ว ปัญหาต่อมาก็คือ arch จะเกิดการโก่งเดาะในรูปแบบอื่นตามมานั่นเองครับ ดังแสดงในรูปที่ 7-b และ 7-c

รูปที่ 7 In – Plane Buckling Shapes

กำลังรับน้ำหนักรอบแกนรอง (Out-of-Plane Strength)

แน่นอนครับว่ามี in-plane buckling แล้ว ก็ต้องมี out-of-plane buckling ตามมา สำหรับ compression member ซึ่งในทางปฏิบัตินั้น การจะป้องกันไม่ให้เกิด out-of-plane buckling ก็สามารถทำได้โดยการติดตั้งค้ำยันในแกนอ่อนนั่นเองครับ (รูปที่ 8) …. แต่อย่างไรก็ตาม หากการค้ำยันเป็นการค้ำยันแบบทำเป็นช่วงๆ (discrete braces) การโก่งเดาะก็อาจยังสามารถเกิดขึ้นได้กับ member ที่อยู่ระหว่างจัดที่ทำการค้ำยัน ซึ่งเราสามารถคำนวณหากำลังรับน้ำหนักได้จากสมการ Euler เหมือน AISC Chapter E แต่จะมีความซับซ้อนของสมการเพิ่มขึ้นมา ตามรูป 8

รูปที่ 8 The elastic out-of-plane critical buckling load

การพิจารณาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

นอกจากการพิจารณาที่กล่าวมาข้างต้น ก็ยังมีสิ่งที่ต้องพิจารณาอีกมากมายเลยนะครับ หากต้องการจะออกแบบโครงสร้างลักษณะนนี้ เช่น

  1. Second-order effect ที่ไปขยายค่าของ bending moment
  2. Lateral torsional buckling ที่เกิดจากดัดตัวของโครงสร้าง
  3. การพิจารณา combined axial and flexure loads ที่กระทำกับตัวโครงสร้าง
  4. Local bending ที่เกิดบริเวณ flange และ local buckling ที่เกิดบริเวณ web
  5. Web bend buckling ที่อาจเกิดกับ member ที่มีรัศมีน้อยๆ (cold bend เยอะๆ) และ web บางๆ

ซึ่งแน่นอนครับว่า เราจะต้องพิจารณาออกแบบในทุกกรณีที่กล่าวมา เพื่อให้มั่นใจว่า member ของเรานั้นจะไม่เกิดการวิบัติเนื่องจาก limit state อันใดอันหนึ่ง

หวังว่าทุกท่านน่าจะได้รับประโยชน์กันไม่มากก็น้อย

ตัวอย่างการคำนวณโครงสร้าง Arch

โจทย์ตัวอย่าง
Arch Geometry & Structural Analysis
Member Loads from Structural Analysis Model
Local Buckling Bending & Axial Checking
Shear Strength & Out – of – Plane Bending
In – Plane Axial Buckling Strength
Second Order Deflection & Out – of – Plane Axial Buckling Strength
Out – of – Plane Axial Buckling Strength
Second order effect & Second-Order Moments
Lateral Torsional Buckling
Combined Loading




Spread the love