Wind Load (แรงลม)
ตัวอย่างการคำนวณแรงลม และถ่ายแรงสำหรับอาคารเตี้ย อย่างละเอียด

ตัวอย่างการคำนวณแรงลม และถ่ายแรงสำหรับอาคารเตี้ย อย่างละเอียด

สำหรับเนื้อหาในบทความนี้จะเป็นการนำ ตัวอย่างการคำนวณแรงลม พร้อมการถ่ายแรงเข้าโครงสร้าง สำหรับอาคารเตี้ย หรือ low-rise buildings ให้ได้ลองดูกันนะครับ

ก่อนอื่นเลย คงต้องพูดถึงว่าทำไมวิศวกรผู้ออกแบบอาคารโรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้าถึงต้องเข้าใจแรงลมที่กระทำกับอาคารประเภทนี้ (อาคารเตี้ย) ซึ่งคำตอบก็น่าจะเป็นเรื่องของการ optimization ให้โครงสร้างเกิดความประหยัดมากที่สุดนั่นเอง

เนื่องจากงานอาคารโรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้าเหล่านี้ เป็นตลาดที่มีกำไรค่อนข้างต่ำ และแข่งขันกันด้วยเรื่องของราคาเป็นหลัก ซึ่งเหตุผลเหล่านี้ก็เป็นเหตุทำให้การออกแบบต้องทำออกมาได้อย่างประหยัดที่สุด อาคารมีน้ำหนักเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากน้ำหนักของอาคารส่งผลต่อราคาเหล็กที่จะต้องสั่งซื้อมาก่อสร้าง

ดังนั้นแล้ว ความเร็วลมที่ใช้พิจารณาก็ควรจะใช้ข้อมูลตามความเป็นจริง ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งข้อมูลต่างๆ ที่จะนำมาใช้คำนวณแรงลมที่เกิดขึ้นก็จะอยู่ใน มยผ.1311 อย่างที่ทราบกันดี โดย ตัวอย่างการคำนวณแรงลม จะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้

ขั้นตอนการคำนวณแรงลม

สำหรับ ตัวอย่างการคำนวณแรงลม นี้ จะเป็นการสมมติโจทย์ขึ้น โดยที่อาคารตัวอย่าง เป็นอาคารโกดังเก็บของที่มีรูปทรงและที่ตั้ง ดังนี้

  • อาคารตัวอย่างนี้ตั้งอยู่ในสภาพภูมิประเทศแบบโล่ง ที่จังหวัดเชียงรายและต้องออกแบบให้รับแรงลมที่เกิดจากความเร็วลมอ้างอิง 29 เมตรต่อวินาที
  • ด้านที่ขนานกับสันหลังคา มีความยาว 60 เมตร
  • ด้านที่ตั้งฉากกับสันหลังคา มีความยาว 75 เมตร
  • ความชันของหลังคามีค่า 1:11.5 (θ = 5.0o)
  • ความสูงของชายคา (Eave Height) เท่ากับ 8 เมตรเหนือพื้นดิน
  • ความสูงเฉลี่ยของหลังคา เท่ากับ 9.31 เมตร
อาคารตัวอย่างสำหรับการคำนวณแรงลม

ขั้นตอนที่ 1: คำนวณหาหน่วยแรงลมอ้างอิงเนื่องจากความเร็วลม (q)

เนื่องจากอาคารตัวอย่างตั้งอยู่ที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่กลุ่มที่ 3 อ้างอิงตาม มยผ. 1311 ดังนั้น ค่าความเร็วลมเฉลี่ย จะมีค่าเท่ากับ 29 เมตรต่อวินาที พร้อมกับมีค่าประกอบใต้ฝุ่นเท่ากับ 1

ดังนั้นหน่วยแรงลมอ้างอิงเนื่องจากความเร็วลม, q สามารถคำนวณได้ตามรูปด้านล่างนี้

ขั้นตอนที่ 2: คำนวณหาค่าประกอบเนื่องจากสภาพภูมิประเทศ (Ce)

ความสูงอ้างอิงของอาคารเตี้ย (low-rise building) สำหรับการคำนวณค่าประกอบเนื่องจากสภาพภูมิประเทศ คือ ความสูงเฉลี่ยของหลังคาเหนือพื้นดิน แต่ต้องไม่น้อยกว่า 6 เมตร ในกรณีนี้ความสูงเฉลี่ยของอาคารเท่ากับ 8 + 15tan 5 องศา = 9.31 เมตร ดังนั้นค่าประกอบเนื่องจากสภาพภูมิประเทศ (Ce) จะมีค่าเท่ากับ 0.99

การคำนวณหาหน่วยแรงลมอ้างอิงเนื่องจากความเร็วลม,q

ขั้นตอนที่ 3: คำนวณหาค่าแรงดันลมภายในที่เกิดขึ้น

ค่าประกอบเนื่องจากผลการกระโชกลม และค่าสัมประสิทธิ์หน่วยแรงลมที่กระทำภายในอาคาร (Cgi Cpi) สำหรับอาคารตามตัวอย่างนี้เป็นอาคารโรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้า ดังนั้นจึงพิจารณาเป็นอาคารที่มีช่องเปิดขนาดใหญ่ ซึ่งมีค่า Cpi = ±0.7 และ Cgi = 2.0

**การระบุลักษณะช่องเปิดของอาคารตาม ASCE 7 อ่านได้ที่ คลิก !!

สำหรับการคำนวณหาค่าหน่วยแรงลมภายในอาคารตามสมการ Pi = Iw x q x Ce x Cgi x Cpi โดยที่ค่าประกอบความสำคัญของอาคาร Iw =1

จะได้ว่าหน่วยแรงดันลมภายในอาคารมีค่าเท่ากับ ±74.26

การคำนวณหาค่าแรงดันลมภายในที่เกิดขึ้น

ขั้นตอนที่ 4: การคำนวณค่าหน่วยแรงลมสุทธิ

ก่อนที่จะสามารถคำนวณค่าหน่วยแรงลมสุทธิได้นั้น เราจะต้องทำการคำนวณหาระยะที่แท้จริงของบริเวณขอบอาคารก่อน ซึ่งบริเวณนี้ เป็นบริเวณที่มีแรงลมกระทำมากเป็นพิเศษ (มากกว่าบริเวณช่วงกลางอาคาร)

ตามข้อกำหนดของ มยผ. 1311 ระบุว่า การคำนวณค่าหน่วยแรงลม สำหรับการออกแบบโครงสร้างหลักของอาคา ความกว้าง y ของพื้นที่ขอบของอาคาร มีขั้นตอนในการคำนวณดังต่อไปนี้

ระยะ y    =  ค่าที่มากกว่าระหว่าง 6 เมตร และ 2z โดยที่

ระยะ z    =  ค่าที่น้อยกว่าระหว่าง 10% ของความกว้างด้านที่แคบที่สุดของอาคาร และ 40% ของความสูง (แต่ต้องไม่น้อยกว่า 4% ของด้านที่แคบที่สุด และไม่น้อยกว่า 1 เมตร)

ซึ่งจากการคำนวณจะได้ว่า ระยะ y มีค่าเท่ากับ 7.44 เมตร ดังแสดงในรูปด้านล่าง

การคำนวณหาระยะขอบอาคาร

ต่อมา หลังจากที่ได้ระยะขอบอาคาร (y) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ให้ทำการระบุค่าสัมประสิทธิ์ Cg Cp สำหรับการคำนวณหาหน่วยแรงลมภายนอกอาคาร ดังนี้

  • แรงลมกระทำตามกรณีที่ 1 (ทิศทางลมโดยทั่วไปอยู่ในแนวตั้งฉากกับสันหลังคา) สามารถเลือกใช้ได้จากตารางในรูป ข.1 ในมาตรฐานฯ มยผ.1311
การระบุค่าสัมประสิทธิ์แรงดันลมภายนอก สำหรับทิศทางลมโดยทั่วไปอยู่ในแนวตั้งฉากกับสันหลังคา

จากนั้น เราก็จะทำสามารถทำการคำนวณหน่วยแรงลมสุทธิ ได้แล้วครับ โดยหน่วยแรงลมสุทธิ (pnet) เป็นการรวมกันแบบเวคเตอร์ระหว่างหน่วยแรงลมภายนอกอาคารและหน่วยแรงลมภายในอาคารตามสมการ pnet = p + pi โดยที่

  • p  = Iw x q x Ce x Cg x Cp
    คือ  ค่าหน่วยแรงลมที่กระทำภายนอกอาคาร
  • pi  =Iw x q x Ce x Cgi x Cpi
    คือ  ค่าหน่วยแรงลมที่กระทำภายในอาคาร ซึ่งมีทั้งค่าบวกและลบตามที่คำนวณไว้แล้วในหัวข้อที่ผ่านมา

ในกรณีของอาคารตัวอย่าง ค่า p และ pi มีค่าเท่ากับ

p  =  1 × 53.58 × 0.99 × CgCp = 53.04 × CgCp กก./ม.2

เมื่อแทนค่า CgCp ตามตาราง ต.1-1 แล้ว จะได้ค่าหน่วยแรงลมภายนอกอาคารที่กระทำในโซนต่างๆ ดังแสดงในตารางที่ ต.1-2

ตารางค่าหน่วยแรงลมภายนอกและหน่วยแรงลมสุทธิ สำหรับกรณีที่ 1

เมื่อได้ดังนี้แล้ว ก็นำหน่วยแรงลมสุทธิมาสรุป โดยการวาดรูป

หน่วยแรงลมสุทธิ (kg/m2) ที่กระทำกับพื้นผิวโซนต่างๆ ของอาคารตัวอย่าง เมื่อทิศทางลมโดยทั่วไปอยู่ในแนวตั้งฉากกับสันหลังคา และหน่วยแรงลมภายในมีค่าเป็นบวก
หน่วยแรงลมสุทธิ (kg/m2) ที่กระทำกับพื้นผิวโซนต่างๆ ของอาคารตัวอย่าง เมื่อทิศทางลมโดยทั่วไปอยู่ในแนวตั้งฉากกับสันหลังคา และหน่วยแรงลมภายในมีค่าเป็นลบ

เมื่อคำนวณแรงลมสุทธิด้านที่แรงลมกระทำตั้งฉากกับสันหลังคาได้แล้ว เราก็มาคำนวณแรงลมสุทธิด้านที่แรงลมกระทำขนานกับสันหลังคาต่อครับ ซึ่งสามารถระบุค่า Cg Cp ได้ดังนี้

ค่าสัมประสิทธิ์ CgCp สำหรับแรงลมกระทำตามกรณีที่ 2

โดยขั้นตอนในการคำนวณก็เช่นเดียวกับ การคำนวณก่อนหน้านี้นะครับ คือ หาหน่วยแรงลมภายนอก ลบด้วย หน่วยแรงลมภายใน ก็จะได้ออกมาเป็นหน่วยแรงลมสุทธิ สำหรับด้านที่ลมกระทำขนานกับสันหลังคา

ตารางค่าหน่วยแรงลมภายนอกและหน่วยแรงลมสุทธิ สำหรับกรณีที่ 2
ค่าหน่วยแรงลมสุทธิ (kg/m.2) ที่กระทำกับพื้นผิวโซนต่างๆ ของอาคารตัวอย่าง เมื่อทิศทางลมโดยทั่วไปอยู่ในแนวขนานกับสันหลังคาและหน่วยแรงลมภายในมีค่าเป็นบวก
ค่าหน่วยแรงลมสุทธิ (kg/m.2) ที่กระทำกับพื้นผิวโซนต่างๆ ของอาคารตัวอย่าง เมื่อทิศทางลมโดยทั่วไปอยู่ในแนวขนานกับสันหลังคาและหน่วยแรงลมภายในมีค่าเป็นลบ

ขั้นตอนที่ 5: การถ่ายแรงลมที่กระทำกับโครงสร้างหลัก

สำหรับขั้นตอนนี้ โดยหลักแล้วหากเราไม่ได้ใช้ computer software ในการออกแบบ อย่างแรกที่เราต้องทำก็คือ กำหนดค่าน้ำหนักที่อาคารจะต้องรับก่อน โดยค่าที่แสดงต่อไปนี้ จะเป็นค่าโดยประมาณที่สามารถเห็นได้ในอาคารโรงงานอุตสาหกรรมและคลังสินค้าทั่วไปครับ

  • น้ำหนักบรรทุกคงที่ของโครงสร้างหลัก (dead load, DL)  =  10 – 20  กิโลกรัม/ม.2
  • น้ำหนักบรรทุกคงที่ของโครงสร้างรอง (dead load, DL)  =  7 – 12  กิโลกรัม/ม.2
  • น้ำหนักแผ่นเมทัลชีท (dead load, DL)        =  5   กิโลกรัม/ม.2
  • น้ำหนักบรรทุกจรบนหลังคา (roof live load, Lr)      =  30  กิโลกรัม/ม.2
  • แรงลม (wind load, W)        =  ตามที่เกิดขึ้นจริง
  • น้ำหนักบรรทุกเพิ่มเติม (collateral load, DL)      =  10  กิโลกรัม/ม.2

เลือกใช้น้ำหนักบรรทุกคงที่ของโครงสร้างหลักเท่ากับ 15 กิโลกรัม/ม.2 และ น้ำหนักบรรทุกคงที่ของโครงสร้างรอง เท่ากับ 10 กิโลกรัม/ม.2

ดังนั้นน้ำหนักบรรทุกคงที่รวม (total dead load)    =  15 + 10 + 5 + 10  =   40  กิโลกรัม/ม.2

พิจารณาแรงลมที่กระทำกับโครงสร้างหลักบริเวณโซนที่ 1 (กรณีที่แรงลมกระทำกับด้านตั้งฉากกับสันหลังคาและแรงลมภายในเป็นบวก)

โดย load combination ที่นำมาใช้ในตัวอย่างจะเป็น U1 = 1.2DL + 1.6Lr + 0.8Wperpendicular ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว จะต้องพิจารณาทุก load combination ที่แสดงอยู่ใน ASCE 7-05 นะครับ

  • แรงลมสุทธิด้านที่ 1 รวมกับด้านที่ 4 แรงลมสุทธิ
    103.43 – 39.78    = 
    63.65    กิโลกรัม / ม.2

  • แรงลมสุทธิด้านที่ 2
    -143.21  กิโลกรัม / ม.2

  • แรงลมสุทธิด้านที่ 3
    -111.39    กิโลกรัม / ม.2

พิจารณาน้ำหนักบรรทุกรวม (แรงลมภายในเป็นบวก)

U1 = 1.2DL + 1.6Lr + 0.8Wperpendicular

U1 = 1.2(40) + 1.6(30) + 0.8(W+)

U1 = 48 + 48 + 0.8(W+)

การพิจารณาการถ่ายแรงและแรงภายในที่เกิดขึ้น

จากนั้นให้ทำการถ่ายน้ำหนักจากพื้นที่รับแรง จากหน่วย กิโลกรัม / ม.2 ไปเป็น กิโลกรัม / ม. โดยการคูณความกว้างของแรงที่กระทำ (bay spacing)

ถ่ายน้ำหนักบรรทุกที่อยู่ในหน่วย

โดยขั้นตอนทั้งหมด ก็จะประมาณนี้นะครับ ก่อนจะจบ เรามาพูดถึงเรื่องของ load combination กันสักหน่อย

โดย load combination ที่จะนำมาใช้พิจารณา โดยพื้นฐานของ มยผ.1311 แล้วจะอ้างอิง ASCE7-05 เป็นหลัก ซึ่งการพิจารณาแรงลมของ ASCE 7-05 จะพิจารณาความเร็วลมที่คาบเวลากลับ 50 ปี โดยพิจารณาค่าความสำคัญของอาคาร

ซึ่งทำให้ความเร็วลมที่ออกมาจะมีค่าเท่ากับค่าๆ หนึ่งตามที่ได้ระบุไว้ในแผนที่ความเร็วลม แต่ใน ASCE 7 เล่มหลังจากนี้ เช่น ASCE 7-10 เป็นต้นไป การพิจารณาความเร็วลมก็จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง

โดยหลักการ ก็คือ เค้าจะพิจารณาความเร็วลมที่คาบเวลากลับแตกต่างกันไป เช่น 300 700 1700 ปี ซึ่งการพิจารณาเช่นนี้ ก็จะทำให้ความเร็วลมเพิ่มมากขึ้นด้วยเนื่องจากจำนวนปีที่พิจารณามากขึ้น แต่ก็จะไปลดทอน load factor ใน load combination ให้น้อยลงแทนครับ

ดูตัวอย่างการเปรียบเทียบแรงลม คลิกเลย !!

ข้อควรระวัง




Spread the love