Prestressed Concrete (คอนกรีตอัดแรง)
ลักษณะการวิบัติของพื้นอัดแรง (post tensioned slab)

ลักษณะการวิบัติของพื้นอัดแรง (post tensioned slab)

ทำความรู้จักกับ พื้นอัดแรง หรือ post-tensioned slab Click !!

ก่อนจะพูดถึงของลักษณะการวิบัติหลักๆ ของพื้นอัดแรง เราก็มาคุยกันถึงเรื่องของลักษณะทางกายภาพของการก่อสร้างด้วยระบบนี้กันก่อนครับ

ข้อกำหนดเชิงรูปทรง (geometry requirements)

ด้วยความที่พื้นชนิดนี้มีความบางที่ค่อนข้างมาก อีกทั้งยังไม่มีคานมารองรับพื้น ดังนั้น สิ่งที่จะต้องระวังมีอยู่ด้วยกัน 2 ข้อหลักๆ ก็คือ (1.) การแอ่นตัวของพื้น (deflection) และ (2.) การเฉือนทะลุที่แผ่นพื้นบริเวณหัวเสา (punching shear)

ดังนั้นแล้ว จึงมีข้อแนะนำสำหรับการเลือกใช้ความหนาของพื้น เพื่อที่จะเป็นเหมือนสารตั้งต้นให้กับผู้ออกแบบพื้นเลือกใช้ความหนาของพื้นได้อย่างเหมาะสม ดังนี้

  • พื้นไร้คานที่รับน้ำหนักบรรทุกน้อย – ให้ใช้ค่าความหนาพื้น โดยพิจารณาเป็นอัตราส่วนต่อความยาวช่วงต่อความหนาพื้นเท่ากับ 40 ถึง 48 หรือก็คือ L / d = 40 – 48
  • พื้นไร้คานที่รับน้ำหนักบรรทุกปกติ เช่น สำนักงาน – ให้ใช้ค่าความหนาพื้นอย่างน้อย โดยพิจารณาเป็นอัตราส่วนต่อความยาวช่วงต่อความหนาพื้นเท่ากับ 34 ถึง 42 หรือ L / d = 34 – 42
  • พื้นไร้คานที่รับน้ำหนักบรรทุกหนัก เช่น ห้องเก็บของ คลังสินค้า – ให้ใช้ค่าความหนาพื้นอย่างน้อยเท่ากับ L/28 ถึง L/36
ข้อกำหนดเชิงรูปทรงของพื้นอัดแรง

ส่วนการแอ่นตัว ก็มีตัวเลขที่แนะนำไว้เช่นเดียวกัน ซึ่งจะหมายถึง ระยะการแอ่นตัวสูงสุดที่ยอมให้ ดังที่แสดงด้านล่างนี้ (ซึ่งเป็นข้อแนะนำทางด้าน serviceability นั่นหมายความว่า ไม่ได้มีผลต่อความแข็งแรงของโครงสร้าง หรือส่งผลให้โครงสร้างเกิดการวิบัติแต่อย่างใด แต่จะหมายความถึง ความสามารถใช้งานได้ดีของอาคาร ที่ทำให้ผู้ใช้อาคารอยู่หรือใช้งานอาคารได้อย่างสบาย ไม่แอ่นตัวมากไปจนรู้สึกได้ว่าพื้นมันแอ่น หรืออาคารไม่สั่นไหวจนคนรู้สึกได้ เป็นต้น)

  • พื้นที่ไม่มีส่วนที่ไม่ใช่โครงสร้างมายึดติด – ในความหมายของส่วนที่ไม่ใช่โครงสร้าง คือ งานระบบ งานสถาปัตย์ เช่น ฝ้าเพดาน ให้ใช้ deflection limit = L / 240 (ตัวเลขที่เราทุกคนคุ้นเคย)
  • พื้นหรือดาดฟ้าที่มีส่วนที่ไม่ใช่โครงสร้างมายึดติด – การแอ่นตัวที่มากเกินไปอาจทำให้ชิ้นส่วนเหล่านั้นเสียหายได้ เช่น ฝ้าเพดานแตกร้าว หรือท่อน้ำที่ห้อยติดกับพื้นหักหรือหลุดออกจากกันได้เนื่องจากพื้นเกิดการแอ่นตัวที่มากเกินไป ให้ใช้ deflection limit = L / 480
  • พื้นหรือดาดฟ้าที่มีส่วนที่ไม่ใช่โครงสร้างมายึดติด แต่ไม่เกิดความเสียหาย – deflection limit ก็จะยอมให้แอ่นตัวเยอะขึ้นมาหน่อย เนื่องจากชิ้นส่วนที่นำมาติด มีความยืดหยุ่นที่ดี ไม่เกิดความเสียหายเมื่อพื้นมีการแอ่นตัวที่มาก

** ค่าที่ให้ไว้ในข้อที่ 1 จะจะเป็นค่า deflection limit ที่พิจารณาเพียง live load ที่ทำให้เกิดการแอ่นตัวขึ้นทันที

** ส่วนในข้อ 2 และ 3 จะเป็นค่า deflection limit ที่พิจารณาน้ำหนักบรรทุกรวม จาก DL (รวมไปถึงน้ำหนักบรรทุกคงค้างต่างๆ) และ LL (ที่ทำให้เกิดการแอ่นตัวขึ้นทันที) นะครับ

ข้อแนะนำด้านการแอ่นตัวของพื้นอัดแรง

การวิเคราะห์โครงสร้างสำหรับพื้นอัดแรง / post-tensioned slab (แบบ flat slab)

สำหรับพื้นอัดแรงนั้น การวิเคราะห์เพื่อหาโมเมนต์ดัดที่เกิดขึ้น จะใช้วิธีที่เรียกว่า วิธีโครงข้อแข็งเทียบเท่า (Equivalent Frame Method) ซึ่งวิธีนี้มีการกำหนดอยู่ใน ACI 318

การวิเคราะห์ด้วยวิธีนี้จะมองโครงสร้างทั้งระบบเป็นเหมือน moment frame โดยพิจารณาให้พื้นเป็นคานตัวหนึ่งที่ยึดกับเสา โดยมีความกว้างของพื้นที่ใช้ในการพิจารณาเท่ากับครึ่งหนึ่งของความยาวช่วงด้านซ้ายและด้านขวาของแนวเสา (L/2) (ดูในรูปน่าจะเข้าใจง่ายกว่านะครับ) และพิจารณาว่าจุดรองรับของเสาอีกด้านหนึ่งเป็นแบบ fixed-end

วิธีโครงข้อแข็งเทียบเท่า (Equivalent Frame Method)

Failure modes ของพื้นอัดแรงที่ต้องพิจารณา (ข้อกำหนดในการออกแบบ)

การวิบัติที่อาจะเกิดขึ้นกับพื้นอัดแรง นั้น จริงๆ มีค่อนข้างจะหลายลักษณะนะครับ ซึ่งในการออกแบบก็จะต้องพิจารณาทั้งแรงที่เป็น gravity load (dead load, live load) และ lateral load (wind load, seismic load) ดังนั้นแล้ว failure modes ก็จะมีค่อนข้างเยอะนิดนึงครับ ดังด้านล่างนี้

  • หน่วยแรงยืดหยุ่น (elastic stress) – (i) ในขณะก่อสร้าง (ii) ขณะใช้งาน คือ มี live load เข้ามากระทำ และ (iii) เมื่อสิ้นสุดการใช้งานตามที่กำหนดไว้ เช่น 50 ปี
  • โมเมนต์ดัดประลัย (flexural moment) – จากแรงในแนวดิ่งและแรงทางด้านข้าง
  • แรงเฉือนประลัย (shear) – จากแรงในแนวดิ่งและแรงทางด้านข้าง
  • แรงแบกทานของคอนกรีตบริเวณ anchorage (ที่ยึด tendon)
  • แรงอื่นๆ เช่น แรงบิด แรงที่เกิดจากการหดและขยายตัว
ลักษณะการวิบัติของพื้นอัดแรง

แต่ failure mode หลักๆ จะเป็นข้อ 2 และ 3 ซึ่งโมเมนต์ดัด (flexural moment) จะเป็นตัวที่กำหนดปริมาณเหล็กเส้นและ tendon ในพื้นว่าจะต้องใส่มากน้อยเพียงใด

ส่วนแรงเฉือน (shear) ก็เป็นอีกตัวหนึ่งท่จะต้องระวังเป็นอย่างมาก เนื่องจากระบบการก่อสร้างนี้มีโครงสร้างพื้นที่ค่อนข้างบาง การเกิดแรงเฉือนทะลุ (#punching shear) ของพื้นที่บริเวณหัวเสา สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย เนื่องจากกำลังรับแรงเฉือนทะลุของพื้น จะเป็นการพิจารณา (i) ความหนาของพื้น ซึ่งเราบอกว่า โดยทั่วไปแล้วพื้น post tension จะมีความหนาอยู่ระหว่าง 20 – 25 cm. ซึ่งถ้าเทียบความหนาพื้นกับความยาวช่วง (span length) ก็จะเห็นว่า ความหนาของพื้นมีค่าค่อนข้างน้อย (ii) พื้นที่รอบหัวเสา โดยคิดความกว้างประสิทธิผลที่ d/2 (วัดออกมาจากหน้าเสาแต่ละด้าน โดยที่ d คือ ความลึกของพื้น)

กำลังรับโมเมนต์ของพื้นอัดแรง
แรงเฉือนทะลุ
การเสริมแป้นหัวเสาเพื่อเพิ่มกำลังรับแรงเฉือนทะลุ

ดังนั้นจะเห็นว่า กำลังรับแรงเฉือนทะลุของพื้น น่าจะเป็นตัวที่ control พฤติกรรม ซึ่งหมายถึงให้กำลังรับแรงที่ต่ำที่สุด เพราะฉะนั้น ในหลายๆ ครั้ง เราก็จะเห็นว่า การออกแบบพื้น post tension จะต้องมีการทำ drop panel ที่หัวเสา ซึ่งจะเข้ามาช่วยให้ความลึกและความกว้างประสิทธิผล ที่ใช้สำหรับรับแรงเฉือนทะลุเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง





Spread the love